เทคโนโลยีการจับันทึกข้อมูล
การปฏิบัติงานของทุก ๆ
องค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐหรือภาคเอกชนก็ตาม
ข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทำอย่างไรจึงจะได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้อง
รวดเร็ว และครอบคลุมตามความต้องการของผู้ที่จะข้อมูล
ทำอย่างไรจึงจะสามารถบริหารจัดการข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อผู้บริหารได้ตรงตามที่ต้องการ ไฟล์เซิร์ฟเวอร์
(File Server) ได้เข้ามาช่วยในเรื่องการจัดการกับข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้
เพื่อให้ผู้ใช้หลาย ๆ คน สามารถเข้าไปใช้งานร่วมกันได้ ซึ่งจะมีการกำหนดสิทธิในการใช้งาน
( Authentication ) ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายและมีความเป็นปัจจุบัน
ช่วยทำให้เกิดประสิทธิภาพในองค์กรมากขึ้น แต่การขยายตัวของปริมาณข้อมูลที่มีอัตราสูงขึ้นเรื่อย
ๆ ทำให้มีการเพิ่มจำนวนของไฟล์เซิร์ฟเวอร์ (File Server) ด้วยเช่นกัน
เพราะเมื่อต้องการจะเพิ่มพื้นที่ (Capacity) ให้กับเซิร์ฟเวอร์เดิมที่มีอยู่
จะสามารถทำได้ในปริมาณมากที่สุด (Maximum Capacity) ที่เซิร์ฟเวอร์รุ่น นั้น ๆ สามารถรองรับได้ และหากไฟล์ที่ต้องการจะแชร์ข้อมูล
(Data Sharing) เป็นไฟล์ที่อยู่คนละระบบปฏิบัติ (Operation
System) หรือคนละแพลตฟอร์ม Plat form) ความแตกต่างของระบบปฏิบัติการที่ใช้
ย่อมเกิดปัญหาที่จะต้องหาเซิร์ฟเวอร์ตัวใหม่มาเพิ่ม
เพราะเซิร์ฟเวอร์หนึ่งตัวสามารถจะรองรับการทำงานของระบบปฎิบัติการได้เพียงระบบเดียวเท่านั้นในเวลาหนึ่ง
ๆ
การขยายตัวทำให้เกิดความซับซ้อนสำหรับการดูแลและจัดการไฟล์เซิร์ฟเวอร์ (File Serve) ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กับความยุ่งยากและซับซ้อน
|
Network Attached Storage เป็นเทคโนโลยีที่รู้จักในคำว่า “NAS” ซึ่งช่วยแก้ปัญหาข้างต้นได้เป็นอย่างดี
กล่าวคือเป็นการนำเอาความคิดรวบยอดในการยุบ (Consolidate)
ไฟล์เซิร์ฟเวอร์หลาย ๆ ตัวรวมกันเป็นจุดเดียว ทำให้ระบบปฏิบัติการ (Operating
System) ทำงานน้อยลง เพราะดูแลเพียง NAS
จุดเดียว
Network Attached Storage (NAS)
NAS เป็นการต่อ Storage
ผ่าน IP Network ที่องค์กรทั่วไปมีอยู่แล้ว
เช่น WAN LAN ซึ่งเหมาะกับข้อมูลประเภท Filebase
I/O ที่ส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลขนาดใหญ่
แต่การอ่านเขียนไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา
เมื่อใช้ IP Network มีลักษณะเป็น Share
Network ในการใช้ NAS
จะมีข้อดีคือสนับสนุน File System ทั้ง CIFS
(Windows) และ NFS (Unix)
ทำให้สามารถให้บริการได้อย่างกว้างขวาง และไม่เสียค่า Client Access
License จึงเป็นที่นิยมขององค์กรต่าง ๆ เพราะใช้แทน File
Server ทั่ว ๆ ไปได้เป็นอย่างดี
อุปกรณ์ NAS แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.
อุปกรณ์ NAS ที่ใช้ประโยชน์จากโพรโตคอล Network
Data Management Protocol (NDMP) จากผู้ค้าอย่าง Network
Appliance, EMC และ Procom อุปกรณ์ NAS
เหล่านี้จะใช้ประโยชน์จากโพรโตคอล NDMP เพื่อทำการแบคอัพ
และโอนถ่ายข้อมูลกลับคืน โพรโตคอล NDMP จัดเป็นวิธีการง่ายๆ และรวดเร็วสำหรับซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลที่จะทำการโอนถ่ายข้อมูลจากอุปกรณ์
NAS ไปยังเทปไดรฟ์ ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ NAS โดยตรง การใช้โพรโตคอล NDMP ทำการสำรองข้อมูลนั้นทำให้ไม่จำเป็นต้องโอนถ่ายข้อมูลที่ทำการสำรองจากอุปกรณ์
NAS ไปยังเซิร์ฟเวอร์สำรองข้อมูลผ่านทางเครือข่าย TCP/IP
อีกต่อไป วิธีการนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการแบกอัพผ่านเครือข่าย
โดยทั่วไปจะรู้จักกันในชื่อออปชัน NAS (NAS OPTION) ในโซลูชันด้านการสำรองข้อมูล
2. อุปกรณ์ NAS ที่ประยุกต์การใช้งานแบบวินโดวส์จากผู้ค้าอย่าง HP, Dell, IBM และ IomegaNAS มีการพัฒนาบนพื้นฐานของเคอร์แนลแบบยูนิกซ์
สามารถเชื่อมต่อเข้าระบบ Network ได้ทุกรูปแบบ
ซึ่งสามารถสำรองข้อมูลสำรอลแบบโลคอลได้ จึงไม่จำเป็นต้องโอนถ่ายข้อมูลสำรองผ่านเครือข่าย
TCP/IP อีกทำให้การสำรองข้อมูลมีประสิทธิภาพได้เพิ่มสูงขึ้น
รูปการเชื่อมต่ออุปกรณ์
NAS Appliance เข้ากับระบบเน็ตเวิร์ก
การเลือกใช้อุปกรณ์ NAS
จะต้องคำนึงถึงความสามารถพื้นฐาน 5 ประการ คือ
1.
อุปกรณ์ทั้งหมดจะต้องรองรับโพรโตคอล
DHCP
โดยไม่ต้องติดตั้งหน้าจอคอลโซลเพื่อเข้าไปปรับแต่งค่าทางด้าน Network ของอุปกรณ์ แต่เป็นเพียงการเปิดเครื่องและเชื่อมต่อเข้ากับ Network ที่มีอยู่ เพื่อเรียกหา IP Address และค่าอื่น ๆ
ที่จำเป็นจากเซิร์ฟเวอร์ DHCP ได้ทันที
2.
อุปกรณ์จะต้องสนับสนุน
Protocol ต่าง ๆ เช่น CIFS (Common
Internet File System) , FTP , HTTP , NF (Network File System) เพื่อจได้ไม่ต้องเข้าไปจัดการมาก
ควรเป็นเพียงเลือกใช้หรอยกเลิกการใช้งาน Protocal ต่าง ๆ
ตามความเหมาะสมก็พอ
3.
อุปกรณ์จะต้องมี
4.
อุปกรณ์จะต้องกำหนดผู้ใช้/กลุ่มผู้ใช้ได้
โดยการเรียกข้อมูลของ User และ Group ของ User
เพื่อกำหนดสิทธิการใช้งาน
5.
จะต้องมี Web Interface สำหรับการจัดการและปรับแต่งค่าคอนฟิกูเรชั่นต่าง ๆ ของอุปกรณ์ โดยไม่ต้องมีการติดตั้ง Software เป็นเพียงเปิดโปรแกรมบราวเซอร์ เพื่อให้จัดการได้ทันที
ภาพตัวอย่างของอุปกรณ์ NAS
|
||
|
NS4300N
แนวโน้มในอนาคตจะมีการรวมกันของ
SAN-NAS (สตอเรจ แอเรีย เน็ตเวิร์กซึ่งเป็นระบบสำรองข้อมูลขนาดใหญ่-เน็ตเวิร์ก
แอตแทช สตอเรจ ที่เป็นระบบสำรองข้อมูลขนาดที่ต่อกับเน็ตเวิร์กเดิม) การรวมกันของ 2
ระบบนี้ จะเรียกว่าฟาบลิก แอตแทช สตอเรจ (FAS) ซึ่งแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของระบบจัดเก็บข้อมูลบนเครือข่ายนี้จะเพิ่มมากขึ้น
(จากข้อมูลรายงานของไอดีซีระบุว่า สัดส่วนของFAS ในปี 2003
เพิ่มขึ้นเป็น 81% จากปี 2002 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 56% ส่วนที่เหลือเป็นไดเรกต์แอตแทช
สตอเรจ (DAS) ซึ่งเป็นสตอเรจที่ต่อตรงเข้ากับคอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์- ปริมาณข้อมูลขององค์กรที่ต้องจัดเก็บเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกๆ 6-12 เดือน
- ความต้องการของพนักงาน, คู่ค้า รวมถึงลูกค้าที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ อย่างรวดเร็วซึ่งสามารถแปลงเป็น ประโยชน์ต่อองค์กรในรูปแบบของการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, ความพึงพอใจของลูกค้า และเป็นการ สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า และคู่ค้าขององค์กร
- ความปรารถนาของหลายองค์กรที่ต้องการควบคุม Total Cost of Ownership สำหรับโครงการด้านไอทีและ ต้องการใช้ประโยชน์สูงสุดจากโครงสร้างระบบเครือข่ายที่มีอยู่
- ความต้องการในการเตรียมตัวสำหรับการก้าวสู่ธุรกิจ ที่มีการนำเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ต มาใช้รวมถึงการกู้ข้อมูลจากความเสียหาย แม้ว่าบางส่วนของโครงสร้างระบบสารสนเทศจะหยุดทำงานไป และในบางกรณียัง รวมไปถึงการสร้างสำเนาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง สำหรับข้อมูลที่มีความสำคัญสูง
- ความต้องการด้านการจัดเก็บข้อมูลจะเติบโตต่อไป ตราบเท่าที่บริษัทมีการสร้าง และเก็บฐานข้อมูลต่างๆ เพื่อ ใช้ในการดำเนินธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น